Sunday, December 28, 2014

พระรัตนครัณฑมุทราธารณีมนตร์

พระสรฺว ตถาคตา ธิษฺฐาน หฤทย คุหฺย ธาตุ ครณฺฑ มุทฺราธารณี สูตฺร

สรฺว ตถาคตา ธิษฺฐาน หฤทย คุหฺย ธาตุ ครณฺฑ มุทฺราธารณี สูตฺร





(จากภาพ:รูปพระสถูปที่จารึกพระรัตนครัณฑมุทราธารณีมนตร์)

ข้าพเจ้าได้สดับมาดังนี้ สมัยหนึ่ง สมเด็จพระผู้มีพระภาค ได้ประทับที่เมืองมคธ ในสระรัตนภาโบกขรณี ภายในวิมลาอุทยาน พรั่งพร้อมไปด้วยมหาโพธิสัตว์และมหาสาวก เทพยดา นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร มโหราค มนุษย์และอมนุษย์ทุกหมู่เหล่าจำนวนนับร้อยนับพันพ้นประมาณ ซึ่งแวดล้อมพระพุทธองค์อยู่ตลอดเบื้องหน้าและเบื้องหลัง


ในครั้งนั้น ณ ท่านกลางหมู่ชน มีมหาพราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อ วิมลสุภา เป็นผู้พหูสูตร ฉลาดหลักแหลมทั้งเป็นที่ยินดีแก่ผู้ได้ประสบ เป็นผู้ดำเนินทศกุศลจริยาอยู่เสมอ ศรัทธายึดมั่นพระรัตนตรัยเป็นสรณะ เป็นผู้ที่มีจิตยิ่งในกุศล มีปัญญาญาณสุขุมคัมภีรภาพ ปรารถนาให้สรรพสัตว์ทั้งปวงได้สมบูรณ์ซึ่งประโยชน์อันดีงาม และถึงพร้อมในมหาธนรัตนสานสมบัติทั้งปวงอยู่เนืองนิตย์


กาลนั้น วิมลสุภาพราหมณ์ ได้ลุกขึ้นจากอาสนะ เข้าไปกราบถวายบังคมพระพุทธองค์ยังที่ประทับ แล้วประทักษิณาวัตรเจ็ดรอบ น้อมถวายมวลบุปผชาติและสุคันธชาติเป็นเครื่องสักการะแด่พระโลกนาถเจ้า ยังน้อมถวายอาภรณ์ สร้อยเกยูรรัตนศิราภรณ์อันประมาณมิได้เพื่อประดับยังพุทธสรีระ น้อมศรีษะนมัสการที่พระบาททั้งสองของพระศาสดา แล้วมายืนอยู่ด้านหนึ่งทูลอาราธนาว่า "ข้าแต่พระโลกนาถเจ้าผู้ประเสริฐ พร้อมด้วยมหาสาวกทั้งปวง ในยามรุ่งพรุ่งนี้ขอพระองค์โปรดเสด็จยังเรือนของข้าพระองค์ เพื่อรับการถวายสักการะด้วยเถิด พระเจ้าข้า"


สมัยนั้น พระโลกนาถเจ้า ทรงดุษณีพภาพนิ่งอยู่โดยอาการ ครั้นเมื่อพราหมณ์ทราบว่าพระพุทธองค์ทรงรับนิมนต์แล้ว จึงรีบกลับเรือนในทันที ตลอดราตรีได้ปรุงโภชนาหาร อันเป็นภัตคือเครื่องฉัน เครื่องดื่มนานาชนิด ขัดล้างเคหสถาน ประดับธงทิวแลร่มฉัตรจนถึงเพลาอรุโณทัย ครั้นแล้วจึงพร้อมด้วยครอบครัวบริวาร ต่างถือบรรดาเครื่องหอมและมวลมาลี พร้อมกับเครื่องสังคีตดนตรีทั้งปวง ไปยังสำนักแห่งพระตถาคตเจ้า แล้วกราบทูลว่า "ถึงเพลาแล้วขอพระองค์เสด็จเถิดพระเจ้าข้า"


บัดนั้น พระโลกนาถเจ้าได้ตรัสตอบวิมลสุภาพราหมณ์ แล้วทรงประกาศแก่มหาชนอันประกอบด้วยพระสาวกว่า "พวกเธอควรไปยังเคหสถานแห่งพราหมณ์เพื่อรับการสักการะเถิด ซึ่งจะเป็นเหตุใหเพราหมณ์นั้นได้รับประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่"


ครั้นแล้ว พระโลกนาถเจ้าจึงทรงลุกขึ้นจากบัลลังก์อาสน์ ทันทีที่ทรงลุกจากอาสนะ พระวรกายได้เปล่งรัศมีสว่างไสวนานัปการวิจิตรงดงามอันหามิได้ในโลก ส่องสว่างไปในทิศทั้งสิบทำให้(โลกธาตุทั้งหลาย)ได้รู้ถึงนิมิตมงคล จากนั้นก็ได้เสด็จพุทธดำเนิน


ครั้งนั้น พราหมณ์ก็ยกชูเครื่องหอมและดอกไม้ขึ้นด้วยความเลื่อมใสพร้อมกับบริวาร เทพเจ้า นาค และสัตว์ในคติแปด(มี ๑.เทพ ๒.นาค ๓.ยักษ์ ๔.คนธรรพ์ ๕.อสูร ๖.ครุฑ ๗.กินนร ๘.ใหราค) พระอินทร์ พรหมราชและท้าวจตุโลกบาลเทวราช ได้นำเสด็จล่วงหน้าไปเพื่อจัดแจงทางพระดำเนินของพระตถาคตเจ้า


เมื่อพระโลกนาถเจ้าเสด็จไปไม่ไกลนัก ถึงอุทยานแห่งหนึ่งชื่อ มหาธนะ ในอุทยานนั้น มีกองสถูปโบราณที่พังทลายลงแล้ว ปกคุมไปด้วยขวากหนาม ต้นไม้ ต้นหญ้า เศษกระเบื้อง จนมีลักษณะคล้ายเนินดิน


พระโลกนาถเจ้าได้เสด็จไปยังสถูปนั้น บัดนั้นเบื้องบนของสถูปได้เปล่งแสงรัศมีสว่างไสว แล้วมีเสียงจากเนินดินนั้นว่า "สาธุ สาธุ พระศากยมุนี วันนี้พระองค์จะได้กระทำจริยาอันเป็นกุศลที่ประเสริฐที่สุด และพราหมณ์ในวันนี้เธอจักได้รับกุศลและประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่"





บัดนั้น พระโลกนาถเจ้า จึงสักการะซากสถูปโดยประทักษิณสามรอบ ทรงเปลื้องจีวรแล้วห่มให้พระสถูปนั้น ทรงหลั่งน้ำพระเนตรแล้วแย้มพระสวรล ในสมัยนั้นบรรดาพระพุทธเจ้าทั้งปวงในทศทิศ ที่ทอดพระเนตรเหตุการณ์นี้อยู่ก็ทรงหลั่งน้ำพระเนตรเช่นกัน(การที่พระตถาคตเจ้า ทรงหลั่งน้ำพระเนตร ในข้อนี้หาใช่ พระองค์ทรงโศกเศร้า หรือการที่ทรงสรวลนั้น หาใช่เพราะสะเทือนแก่พระหทัยไม่ หากต้องการจะแสดงพระอุปายโกศล ให้สรรพสัตว์รู้ว่าพระสถูปนี้มีความสำคัญยิ่งเท่านั้น) แล้วทรงเปล่งรัศมีมายังสถูปนี้ บรรดามหาชนก็พากันตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง ต่างก็ปรารถนาจะรู้ถึงปริศนาประการนี้


ครั้งนั้น บรรดาพระวัชรปาณีโพธิสัตว์ก็ล้วนหลั่งน้ำตา ผู้รุ่งเรืองด้วยเปลวเพลิงถือวัชราวุธกวัดแกว่งไปมา เข้ามาถวายบังคมพระพุทธองค์ยังที่ประทับแล้วทูลว่า "ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า ด้วยเหตุปัจจัยเช่นไร จึงปรากฏแสงสว่างขึ้นเช่นนี้ เหตุใดหนอดวงพระเนตรแห่งพระตถาคตจึงหลั่งพระอัสสุชลปานนี้ เช่นไรหนอบรรดาพระพุทธเจ้าในทิศทั้งสิบจึงเปล่งพระรัศมีเช่นนี้ ขอพระตถาคตโปรดประทานไขข้อกังขาแก่มหาชนด้วยเถิด พระเจ้าข้า"

เมื่อนั้น พระพุทธองค์ตรัสกับพระวัชรปาณีว่า "นี้คือสถูปที่รวบรวมแห่งพระบรมธาตุทั่ววรกายของพระพุทธเจ้าจำนวนประมาณพระองค์มิได้ หฤทัยธารณีคุหยมุทราอันเร้นลับสำคัญยิ่งจำนวนนับโกฏิก็ประดิษฐานอยู่ภายใน

ดูก่อนวัชรปาณี เพราะมีพระธรรมที่สำคัญอยู่ภายใน แต่สถูปกลับพังทลายทับถมไร้ผู้ใยดี ประดุจเมล็ดงา พึงทราบเถิอว่าวรกายของพระพุทธเจ้าจำนวนนับร้อยพันโกฏิพระองค์ก็เป็นดุจเมล็ดงา เช่นกันนี้ พระบรมธาตุทั่วพระวรกายของพระตถาคตเจ้าจำนวนร้อยพันโกฏิ ก็ได้รวบรวมไว้ในที่แห่งนี้ ตลอดจนธรรมขันธ์ทั้งแปดหมื่นสี่พัน ก็ประดิษฐานอยู่ภายในเช่นกัน พระอุษณีษะ ของพระพุทธเจ้าจำนวนเก้าสิบเก้าร้อยพันหมื่นโกฏิพระองค์ก็ประดิษฐานอยู่ภายใน ด้วยความวิเศษเช่นนี้ สถานทั้งปวงที่สถูปนี้ได้ก่อตั้งขึ้นจะมีฤทธานุภาพมาก สามารถยังให้ความเป็นมงคลมีอยู่ทั่วจักรวาล"



(จากภาพ:พระวัชรปาณีโพธิสัตว์)


ครั้งนั้น เมื่อบรรดามหาชนได้ยินพระวจนะนี้แล้ว จึงได้ไกลจากกิเลสธุลี ปหานสิ้นความเศร้าหมองแห่งจิตได้บรรลุธรรมจักษุบริสุทธิ์ ครั้งนั้นเพราะมหาชนมีพีชะต่างกัน จึงได้เสวยผลต่างกัน มีโสดาปัตติผล สกิทาคามิผล อนาคามิผล อรหันตผล ปัจเจกพุทธมรรคและโพธิสัตวมรรค เป็นโพธิสัตว์ผู้ไม่ถอยกลับ ซึ่งได้บรรลุหนึ่งในทั้งหมดนี้ บ้างก็บรรลุปฐมภูมิ ทุติยภูมิ ตราบถึงทศภูมิ บ้างก็ได้สมบูรณ์พร้อมซึ่งปารมิตาหกประการ หราหมณ์นั้นก็ได้ไกลจากกิเลสธุลีได้บรรลุเบญจอภิญญา

ในสมัยนั้น เมื่อพระวัชรปาณีได้พบเหตุการณ์ประหลาดและหาได้ยากยิ่งนี้แล้ว จึงกราบทูลพระโลกนาถเจ้าว่า "น่าอัศจรรย์ยิ่งนักๆ เพียงได้ยินเรื่องราวนี้ก็ทำให้สำเร็จกุศลที่วิเศษเช่นนี้ แล้วจักประสาใดกับการได้ยินข้อความที่ลึกซึ้ง จนเกิดศรัทธา แล้วได้บรรลุถึงกุศลนั้นอีกเล่า
มีรับสั่งว่า "เธอจงสดับเถิดวัชรปาณี ในอนาคตเบื้องหน้า กุลบุตร กุลธิดาและพุทธบริษัทหมู่สี่อันเป็นสานุศิษย์แห่งเรา ได้บังเกิดจิตศรัทธาจารึกพระธรรมสูตรนี้แม้เพียงหนึ่ง ก็เหมือนได้จารึกพระธรรมสูตรทั้งปวง ที่พระพุทธตถาคตจำนวนเก้าสิบเก้าร้อยพันหมื่นโกฏิได้แสดงแล้ว ทั้งได้ปลูกฝังกุศลมูลต่อพระพุทธเจ้าจำนวนเก้าสิบเก้าร้อยพันหมื่นโกฏินั้นด้วย ซึ่งพระพุทธเจ้าเหล่านั้น จักอภิเษกและคุ้มครองเหมือนรักษาดวงตาอันเป็นที่รัก ฤาประดุจมารดาที่รักและดูแลบุตรฉะนั้น

หากมีผู้สาธยายพระธรรมนี้ ก็เหมือนได้สาธยายพระธรรมของพระพุทธเจ้าได้อดีต ปัจจุบันและอนาคตที่ตรัสไว้ เหตุนี้พระบรมธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจำนวนเก้าสิบเก้าร้อยพันหมื่นโกฏิพระองค์ ที่ถูกละทิ้งดุจเมล็ดงาที่ทับถมอยู่นี้ จักปรากฏพุทธกายเพื่ออภิเษกให้บุคคลนั้นตลอดกลางวันและกลางคืนพระพุทธเจ้าทั้งหลายจำนวนเท่ากับเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคาที่นับจำนวนพระองค์มิได้นี้ ก็ยังคงรวมกันอยู่มิหายไป จะเสด็จมาเป็นกลุ่มมิขาดสาย ในขณะเดียวก็เสด็จมาเพิ่มขึ้นดุจเม็ดทรายในกระแสน้ำวนที่เชี่ยวกราก มิหยุดนิ่งเวียนวนไปมา

หากมีบุคคลน้ำเครื่องหอม ดอกไม้ เครื่องทาหอม พวงมาลา อาภรณ์แพรพรรณ สิ่งของวิจิตรประณีตทั้งปวง ถวายสักการะต่อพระสูตรนี้ ย่อมเหมือนการบูชาพระพุทธเจ้าจำนวนเก้าสิบเก้าร้อยพันหมื่นโกฏิ ด้วยของหอมและดอกไม้ อาภรณ์และสิ่งของอลังการที่เป็นทิพย์ ประกอบด้วยรัตนทั้งเจ็ด เหมือนการนำเอาเขาสุเมรุถวายทั้งหมด การปลูกฝังกุศลมูลก็เป็นเช่นนี้

ครั้งนั้น บรรดาเทพ นาคและสัตว์ในคติแปด มนุษย์และอมนุษย์ทั้งปวง ที่ได้ฟังพระพุทธวจนะเช่นนี้ ต่างมีมนสิการว่า "น่าอัศจรรย์ยิ่งแล้ว เนินดินนี้เพราะมีอานุภาพแห่งพระตถาคตเจ้าอภิเษกอยู่ จึงมีอำนาจนี้"

พระวัชรปาณีทูลว่า "ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า ด้วยเหตุปัจจัยใดหนอที่สัปตรัตนสถูปนี้ จึงปรากฏเป็นเพียงเนินดิน พระเจ้าข้า"


(จากภาพ:ซากสถูป Dhamarajika Stupa สร้างสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาพระธรรมสูตรนี้)

พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า "หาใช่เนินดินไม่ แต่คือมหารัตนสถูปอันวิเศษ เพราะกรรมวิบากของสรรพสัตว์เป็นเหตุให้พระสถูปปิดเร้นไว้ไม่ปรากฎ เพราะพระสถูปปิดเร้นไว้เป็นเหตุ พระวรกาย(พระบรมธาตุ)ของพระตถาคตจึงมิถูกทำลาย กายของตถาคตเป็นวัชรครรภ์จักทำลายได้อย่างไร หากตถาคตปรินิพพานแล้ว ในอนาคตเมื่อถึงยุคที่พระธรรมเสื่อมสูญ หากมีสรรพสัตว์ประพฤติสิ่งที่ไม่ใช่ธรรมจะต้องตกนรก เมื่อไม่ศรัทธาพระรัตนตรัย ไม่ปลูกฝังความดีงาม ด้วยเหตุปัจจัยนี้ พุทธธรรมจึงซ่อนเร้นอยู่เหมือนสถูปนี้ที่ยังแกร่งมิเสื่อมสลาย เพราะพลานุภาพของพระพุทธเจ้าทั้งหลายรักษาอยู่ สรรพสัตว์ที่ไร้ปัญญาญาณมีกิเลสเป็นเครื่องปิดกั้น จึงละเลยซึ่งสิ่งล้ำค่ายิ่งนี้ให้ศูนย์ซึ่งคุณประโยชน์ ด้วยเหตุนี้ตถาคตจึงหลั่งน้ำตาและพระตถาคตทั้งหลายก็เช่นกัน"

จากนั้นตรัสกับพระวัชรปาณีว่า "หากสรรพสัตว์จารึกพระสูตรนี้บรรจุในสถูป สถูปนั้นจะคือวัชรครรภ์สถูปของพระพุทธเจ้าทั้งปวง คือสถูปแห่งธารณีของพระพุทธเจ้าทั้งปวง คือสถูปแห่งพระพุทธเจ้าจำนวนเก้าสิบเก้าร้อยพันหมื่นโกฏิ คือสถูปที่ประดิษฐานกระดูกส่วนบนสุดของศรีษะและดวงตาของพระพุทธเจ้าทั้งปวง อันพระพุทธเจ้าทั้งปวงปกป้องรักษาอยู่
หากว่าภายในพุทธปฏิมาหรือสถูปมีธรรมสูตรนี้บรรจุอยู่ ปฏิมานั้นจะดุจสร้างขึ้นด้วยรัตนทั้ง ๗ มีความศักดิ์สิทธิ์ ความปรารถนาจะสำเร็จทุกประการ หากสร้างฉัตร ชาลมาลา ร่มกั้นน้ำค้าง ประดับด้วยกระดิ่งกังสดาล ก่อเสาด้วยศิลาหรือสร้างฐาฯขั้นบันไดถวายสถูปนั้นตามกำลังที่ทำได้ แม้สร้างด้วยดิน ไม้ ศิลา ฤๅด้วยอิฐ เพราะอำนาจของพระสูตรนี้จักทำให้สำเร็จเป็นรัตน ๗ ประการ พระพุทธเจ้าทั้งปวงก็ทรงอภิเษกอำนาจให้แก่พระสูตรนี้ ได้ตรัสว่าตามอภิเษกอยู่มิขาดสิ้นหากมีสรรพสัตว์สามาถสักการะบูชาสถูปนี้ ด้วยของหองเพียงหนึ่ง หรือดอกไม้เพียงหนึ่งอกุศลกรรมในสังสารวัฏจำนวนแปดสิบโกฏิกัลป์จะสิ้นไปในคราเดียว หากถือกำเนิดจะปราศจากเคราะห์ภัยเมื่อสิ้นชีพจะเกิดในพุทธสถาน หากควรตกอเวจีมหานรก เมื่อนมัสการหรือประทักษิณสถูปนี้หนึ่งรอบ ทวารแห่งนรกจะปิดลง หนทางแห่งความรู้แจ้งจะเปิดออก ไม่ว่าสถูปหรือปฏิมานี้ ประดิษฐานที่แห่งใด พลานุภาพของพระพุทธเจ้าทั้งปวงจักคุ้มครองที่แห่งนั้น มิต้องพบอันตรายจากพายุร้ายหรือฟ้าร้องฟ้าผ่า หรือถูกอสรพิษ แมลง หนอนพิษและสัตว์พิษร้ายทำร้าย ไม่ต้องถูกสิงโต ช้าง เสือ สุนัขป่า ผึ้งทำร้าย มิถูกยักษ์รากษส ปีศาจ ภูตผีต่างๆ ทำให้ตื่นตระหนก ไม่ต้องเป็นโรคจากอากาศร้อนและหนาว รวมทั้งโรคเรื้อน ผิวหนังเปื่อยเน่า หลังโกง ฝีฝักบัว ฯลฯ

หากผู้ใดพบเห็นสถูปนี้เพียงชั่วขณะ ภยันตรายทั้งปวงจะถูกกำจัดหมดสิ้น มนุษย์และสัตว์เลี้ยงหกชนิด(มี ม้า,วัวควาย,แพะแกะ,สุกร,สุนัข,ไก่) บุตรชาย บุตรหญิง ไม่ต้องรับทุกข์ทรมาณจากโรคระบาด กาฬโรค มิต้องมรณะก่อนเวลาอันควร มิต้องเป็นผู้มีชะตาสั้น มิถูกทำร้ายด้วยศาตราวุธของมีคม น้ำและไฟ มิถูกกรรโชกแย่งชิง มิถูกปองร้ายจากศัตรู แลมิต้องทุกข์เพราะความยากจน อาถรรพ์และเวทย์มนตร์มิอาจทำอันตรายได้

เทวราชทั้ง ๔ พร้อมบริวารจะตามอารักขาตลอดกลางวันและกลางคืน เทพแห่งดวงดาวทั้งยี่สิบแปดกลุ่ม มหายักษ์เสนาบดี สุริยเทพ จันทรเทพ เบญจดาราเทพ(มีพระอังคาร พระพุธ พระพฤหัส พระศุกร์ และพระเสาร์) กลุ่มเมฆาและดวงหาง ก็จักตามปกปักดูแลตลอด บรรดานาคราชทั้งปวงจักยิ่งบันดาลให้ฝนตกตามฤดูกาล เทพเจ้าและเทพชั้นดาวดึงส์ จะลงจากทิพยพิมานวันละสามครั้งเพื่อบูชา บรรดาวิทยาธรทั้งปวงก็จะประชุมกันวันละสามครั้ง เพื่อขับร้องสดุดีและบูชา พระอินทร์พร้อมด้วยเทพธิดาทั้งหลายทั้งสามเวลาก็เสด็จลงมาเพื่อสักการะ เพราะสถานที่นั้นพระตถาคตเจ้าทั้งปวงทรงอภิเษกและตามระลึกถึงอยู่ เพราะมีการน้อมรับในพระธรรมสูตรและพระสถูปนี้


หากผู้ก่อสร้างสถูปด้วยดิน ศิลา ไม้ ทอง เงิน ทองแดง ตะกั่ว แล้วจารึกธารณีนี้บรรจุไว้ภายใน เมื่อธารณีนี้บรรจุไว้แล้ว สถูปนั้นจะประดุจสร้างด้วยรัตน ๗ ประการ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง ขั้นบันได ร่มฉัตรที่กางกั้นน้ำค้าง กระดิ่งกังสดาล เสาค้ำก็ล้วนคือรัตน ๗ ประการ ทิศทั้ง ๔ ของสถูปจะปรากฏกายของพระพุทธเจ้า เพราะพระธรรมนี้เป็นเหตุ พระพุทธเจ้าทั้งปวงจึงประทับรักษาอยู่ตลอดกลางวันและกลางคืน 

สัปตรัตนสถูปนั้น ประดิษฐานพระบรมธาตุทั่ววรกายของพระพุทธเจ้า ดุจครรภ์แห่งรัตนที่วิเศษ อำนาจของธารณีทำให้สถูปนี้สูงถึงอกนิษฐาพรหมโลก บรรดาเทพทั้งปวงจะเลื่อมใส คุ้มครองและบูชาทั้งกลางวันและกลางคืน"

พระวัรชปาณีทูลว่า "เพราะเหตุปัจจัยใดพระสูตรนี้จึงมีกุศลที่วิเศษยิ่งนัก พระเจ้าข้า"

ตรัสว่า "เป็นเพราะฤทธานุภาพของรัตนครัณฑมุทราธารณีมนตร์นี้"

ทูลว่า "ขอพระตถาคตเจ้า โปรดเมตตาหมู่ข้าพระองค์ตรัสธารณีมนตร์นี้เถิด พระเจ้าข้า"

ตรัสว่า "จงสดับและตรึกตรองไว้ในจิตอย่าได้ลืมเลือน พระพุทธเจ้าทั้งปวงในปัจจุบันและอนาคตได้แบ่งกายมาสถิตอยู่ก่อนแล้ว พระบรมธาตุทั่ววรกายของพระพุทธเจ้าในอดีต ก็ประดิษฐานอยู่ในรัตนครัณฑมุทราธารณีมนตร์ทั้งสิ้น ตรีกาย(คือกายทั้ง ๓ ประเภทของพระพุทธเจ้าคือ ๑.ธรรมกาย ๒.สัมโภคกาย และ๓.นิรมาณกาย) ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ประดิษฐานอยู่ภายในเช่นกัน"

No comments:

Post a Comment